เรื่องเล่า เขาบังเหย พระกัณฐพันธ์ยุทธ ฐิตธัมโม (พระอาจารย์ นก)
วัดดอยแม่ปั๋ง เป็นวัดราษฎร์สังกัดคณะสงฆ์ฝ่ายธรรมยุติกนิกาย ตั้งอยู่ในตำบลแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ มีเนื้อที่ 150 ไร่ ปัจจุบันมีพระครูสุจิณณานุวัตร (พระหนูพิน) ฐุนุตตโม เป็นเจ้าอาวาส
วัดดอยแม่ปั๋งสร้างเมื่อ พ.ศ. 2479 เป็นวัดที่หลวงปู่แหวน สุจิณฺโณ เคยจำพรรษาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2505 จนถึงมรณภาพในปี พ.ศ. 2528 ภายในวัดที่เกี่ยวข้องกับพระเกจิอาจารย์ชื่อดังท่านนี้ ได้แก่ วิหารไม้ กุฏิหลวงปู่แหวน กุฏิไม้ที่เรียกว่า โรงย่างกิเลส หรือ โรงไฟ และวิหารที่ประดิษฐานรูปเหมือนหลวงปู่แหวนเท่าองค์จริง[1]
อาคารและเสนาเสนะประกอบด้วย อุโบสถ ศาลาการเปรียญ หอสวดมนต์ กุฎิสงฆ์ จำนวน 39 หลัง วิหาร ศาลาอเนกประสงค์ ศาลาบำเพ็ญบุญ พิพิธภัณฑ์มณฑปประดิษฐานหุ่นขี้ผึ้งรูปเหมือนและอัฐิ รวมทั้งอัฐบริขารของหลวงปู่แหวน พลับพลา ศาลา 9 ห้อง และศาลาจันทโรจน์วงค์ ปูชนียวัตถุ มีพระพุทธรูปเนื้อโลหะ และเจดี
ศาสนสถานภายในวัดเมื่อสร้างเสร็จก็อยู่คู่กับวัดไปตลอดชาติ เป็นมรดกของพุทธศาสนา เป็นของพุทธศาสนิกชน ซึ่งต้องสร้างให้ขึ้นชื่อว่าดีที่สุด ไม่ใช่เป็นของพระอย่างที่คนเข้าใจกัน พระเป็นเพียงผู้รวบรวมพลังศรัทธาของญาติโยมเท่านั้น
อย่างไรก็ตามแม้ว่าพระอาจารย์นกจะเป็นหัวแรงสำคัญในการนำศรัทธาญาติโยมและลูกศิษย์ในการสร้างวัดเขาบังเหย แต่ท่านไม่ได้เป็นและรับตำแหน่งเจ้าอาวาส พระที่เป็นเจ้าอาวาสชื่อ “พระครูไพบูลย์ธรรมกิจ” ซึ่งมีชื่อเสียงมาก ญาติโยมในพื้นที่แถบนี้ไม่น้อยกว่า ๓ อำเภอ พากันหลั่งไหลไปกราบ กอปรกับวัดนี้มีพระภิกษุรูปหนึ่งเป็นพระหมอยา มีความสามารถ “ผสมยา” ในป่า ต้มให้ญาติโยมอาบ อบ รักษาโรคฟรี ไม่ต้องใช้เงินบูชาเอายาใดๆ คนป่วยส่วนใหญ่หายจากโรคภัยไข้เจ็บอย่างน่าอัศจรรย์ใจ
พระอาจารย์นก เป็นพระสายปฏิบัติศิษย์หลวงปู่แหวน สุจิณโณ แห่งดอยแม่ปั๋ง จ.เชียงใหม่ ท่านบวชเณรมาจาก จ.ชัยภูมิ ไปอยู่ปรนนิบัติหลวงปู่แหวน สุจิณโน ที่เชียงใหม่ ก่อนที่หลวงปู่จะละสังขาร วิชาและความรู้หลวงปู่แหวนได้เมตตาถ่ายทอดให้พระอาจารย์นก เป็นอย่างมาก
ความพิเศษของพระอาจารย์นกนอกจากสร้างพระเครื่องและวัตถุมงคลแจกฟรีแล้ว สิ่งหนึ่งที่พิเศษและแตกต่างจากวัดอื่นๆ อย่างสิ้นเชิง คือ ในวัดก็ไม่ได้ตั้งตู้รับบริจาค เงินที่ได้มาเปิดโรงทาน (อาหารฟรีตลอดปี) ได้มาจากญาติโยมฐานะดีบริจาคเป็นกองทุน “ลอยเอาไว้” ทั้งปี รวมทั้งมีเศรษฐีบริจาคเงินสร้างศาลา สร้างกุฏิ และกำลังสร้างพระอุโบสถหลังใหญ่ ด้วยพลังศรัทธาในวัตรปฏิบัติและคำสอนในวัตรปฏิบัติของพระอาจารย์นก
“วัดเขาบังเหยชุมพลสีมาราม” สร้างขึ้นเมื่อประมาณ ๒๐ ปีที่แล้ว จากเริ่มแรกเป็นโรงเรือนศาลาไม้ ได้พัฒนาและสร้างศาสนสถานเพิ่มขึ้นจนถึงปัจจุบัน มีศาลาปฏิบัติธรรม พระอุโบสถ หอสมาธิ ตลอดจนโรงยาสมุนไพรและที่พักรับรองญาติโยมที่มาทำบุญและปฏิบัติธรรม
จากป่าไม้ที่ถูกทำลายกลายเป็นภูเขาหัวโล้น พระอาจารย์นกได้นำศรัทธาญาติโยมปลูกต้นไม้ รักษาป่า ทำให้บริเวณวัดร่มรื่น เต็มไปด้วยแมกไม้นานาพันธุ์ บริเวณวัดจึงมีสภาพป่าที่อุดมสมบูรณ์ มีบรรดาสัตว์ป่ามาอาศัยอยู่ เช่น หมูป่า ลิง ไก่ป่า เต่าภูเขา ๖ ขา นกนานาชนิด ต้นไม้พืชพรรณที่เป็นยาสมุนไพรมีมากมายหลายร้อยชนิด บรรยากาศร่มเย็นมากเมื่อได้เข้ามาภายในบริเวณวัด ครูบาอาจารย์ที่บวชอยู่ในวัดนี้เป็นที่นับถือของประชาชนใน จ.ชัยภูมิ และจังหวัดใกล้เคียงเป็นอย่างมาก
วัดเขาบังเหยจึงเหมาะแก่การพักผ่อนหย่อนใจเที่ยวชมธรรมชาติและปฏิบัติธรรม การเดินทางใช้ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๒๕ (สาย จ.ชัยภูมิ- อ.หนองบัว จ.นครสวรรค์) ผ่านหน้าวัด ห่างจากตัว จ.ชัยภูมิ ประมาณ ๘๐ กิโลเมตร ถ้ามาจากมวกเหล็กวิ่งมาทางเขาน้อยผ่าน อ.ลำสนธิ จ.ลพบุรี เข้า อ.เทพสถิต จ.ชัยภูมิ เข้าทางลัดมาทาง ต.นายางกลัด ออกบ้านซับมงคล เลี้ยวซ้ายมุ่งหน้าไป อ.ภักดีชุมพล ประมาณ ๓ กิโลเมตร
นอกจากนี้แล้วถ้ามาทางลำนารายณ์มีทางหลวงแผ่นดินหมายเลข ๒๐๕ เข้าอำเภอเทพสถิต หรือถ้ามาจาก อ.วิเชียรบุรี จ.เพชรบูรณ์ เข้า อ.ภักดีชุมพล จ.ชัยภูมิ ประมาณ ๗ กิโลเมตร ก็จะถึงวัด
พระอาจารย์นกบอกว่า “วัตถุมงคลแม้ว่าจะขึ้นชื่อว่ามีพุทธคุณสูง แต่ไม่มีวัตถุมงคลชนิดใดในโลกนี้กันตายได้แต่ช่วยเหลือไม่ให้ได้ตายได้ และไม่ได้หมายความว่าวัตถุมงคลชนิดเดียวกันจะช่วยเหลือคนได้ทุกคนเหมือนกัน หากต้องขึ้นอยู่กับความศรัทธาด้วย เมื่อมีศรัทธาปฏิหาริย์ย่อมเกิดขึ้นได้ เมื่อไร้ศรัทธาก็ไร้ปาฏิหาริย์ จึงไม่ควรใช้ชีวิตด้วยความประมาท ไม่ว่าคนดีหรือคนเลวหากมีศรัทธาปาฏิหาริย์ย่อมเกิดขึ้นได้เช่นกัน เมื่อทำชั่วแล้วย่อมได้รับผลแห่งกรรมชั่ว เมื่อทำดีย่อมได้รับผลแห่งกรรมดี ทุกคนย่อมหลีกหนีกฏแห่งกรรมไปไม่พ้น ” ทั้งนี้พระอาจารย์นกได้ตอบคำถามที่ว่า“การสร้างวัตถุมงคลเป็นเปลือกของพุทธศาสนาทำให้คนติดและหลงใหลในวัตถุมงคล”ไว้อย่างน่าคิดว่า “ทุกอย่างย่อมมีเปลือก ต้นไม้ก็เช่นกันอยู่ได้เพราะเปลือกที่คอยปกป้องเลี้ยงกระพี้และแก่นให้เจริญเติบโต ศาสนาก็มีเปลือกคือ”ทาน”ที่คอยปกป้องอุ้มชูเลี้ยงกระพี้คือ”ศีล”และศีลคอยปกป้องอุ้มชูเลี้ยงแก่นคือ”ภาวนา คอยปกป้องอุ้มชูเลี้ยงใจกลางแก่นคือ ” ปัญญา ” ถ้าทุกคนในศาสนานี้มุ่งแสวงหาแต่แก่นเพื่อความหลุดพ้นอย่างเดียว โดยไม่รู้จักการให้ทานรักษาศีลเจริญภาวนาแล้วไซร้ วันนี้พุทธศาสนาจะอยู่ได้อย่างไร เพราะถ้าทุกคนไม่รู้จักทำบุญให้ทาน ข้าวน้ำอาหาร เป็นต้น ซึ่งถือว่าเป็นเปลือกของศาสนา พระภิกษุสามเณรก็จะอยู่ไม่ได้
พระกัณฐพันธ์ยุทธ ฐิตะธัมโม (พระอาจารย์ นก)Stories from the Master.
>
พระกัณฐพันธ์ยุทธ ฐิตธัมโม (พระอาจารย์ นก) ปัจจุบันปี ๒๕๖๘ อายุ ๖๑ ปี พรรษา ๔๑
เรื่องเล่า เขาบังเหย พระกัณฐพันธ์ยุทธ ฐิตธัมโม (พระอาจารย์ นก)
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น